อย. เตือน อย่าผสมน้ำยาซักผ้าขาวกับน้ำยาล้างห้องน้ำ ก่อก๊าซพิษ อันตรายรุนแรง

 

ในช่วงเวลานี้การหมั่นทำความสะอาดบ้าน ห้อง หรือจุดสัมผัสต่างๆ ภายในบ้าน คงเป็นกิจวัตรที่หลายคนทำกันอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากถือเป็นแนวทางในการป้องกันเชื้อโรค โดยเฉพาะหลายคนที่กังวลกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ

แต่ในอีกทางหนึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรืออย. ก็ออกมาเตือนประชาชน ใช้น้ำยาซักผ้าขาว น้ำยาล้างห้องน้ำอย่างระมัดระวัง ห้ามนำผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ประเภทมาผสมกัน เพราะสารเคมีในผลิตภัณฑ์อาจทำปฏิกิริยากัน เกิดเป็นก๊าซพิษ เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างรุนแรง แนะควรอ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำที่ระบุบนฉลากอย่างเคร่งครัด

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนบางชนิดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำยาซักผ้าขาว น้ำยาล้างห้องน้ำ มีข้อควรระวังที่ผู้บริโภคไม่ควรมองข้าม ไม่ควรนำมาผสม หรือเทรวมกัน หรือใช้ผลิตภัณฑ์สองชนิดในเวลาเดียวกัน เพราะสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ต่างกันอาจทำปฏิกิริยาเกิดเป็นสารพิษ ทำให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าขาวมีสารสำคัญ คือ โซเดียมไฮโปคลอไรต์ เมื่อนำมาผสมกับผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำที่มีสารสำคัญ คือ กรดไฮโดรคลอริก จะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า “ก๊าซคลอรีน” ซึ่งมีกลิ่นฉุน มีความเป็นพิษสูงจึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อก๊าซคลอรีนสัมผัสกับความชื้นจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตา ผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณที่สัมผัสสาร มีอาการไอ คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หอบเหนื่อย ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีภาวะน้ำท่วมปอด ขาดออกซิเจน ระบบหายใจล้มเหลวและมีภาวะเลือดเป็นกรด เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ 

รองเลขาธิการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อความปลอดภัย ผู้บริโภคควรอ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำที่ระบุบนฉลากอย่างเคร่งครัด  ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าขาวหรือผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำที่มีเลขทะเบียนวัตถุอันตราย หรือมีเลขที่รับแจ้ง โดยสังเกตเครื่องหมาย อย. วอส. หรือเลขที่รับแจ้ง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ฆ่าเชื้อโรคและทำความสะอาดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. ได้ที่  Oryor Smart App หรือที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบผลิตภัณฑ์” หรือสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน อย. 1556

ที่มา:sanook